นับว่าเป็นอีกหนึ่งนักแสดงอาวุโสที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี สำหรับ สมเจต พยัฆโส หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “เฮียหมู บางรักซอย9” เพราะแสดงซิทคอมเรื่องนี้มานาน และสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ชมได้เป็นอย่างดี ด้วยปัจจัยต่างๆที่ทำให้ปัจจุบันเฮียหมูไม่มีงานละครเยอะเหมือนเมื่อก่อน ตนจึงได้ผันตัวมาเป็นพ่อค้า ว่าแล้วเราตามไปส่องชีวิตปัจจุบันของเขาคนนี้กันเลยค่ะ
จากดาราที่มีชื่อเสียงสู่พ่อค้าขายข้าวแกง ความสุขที่เปลี่ยนไปของ “เฮียหมู บางรักซอย9” เปิดมุมมองและวิธีคิดของ “เฮียหมู” ผู้ชายที่มองโลกแง่บวกแม้ชีวิตต้องดิ้นรนย้อนกลับไป 10-15 ปีที่ผ่านมา วงการโทรทัศน์ยังมีแค่ไม่กี่ช่อง โลกอินเทอร์เน็ตยังไม่พัฒนาเท่าปัจจุบัน ชาวบ้านจึงนิยมดูละครหรือเกมโชว์เพื่อความบันเทิง
“ละครซิทคอม บางรักซอย 9” เป็นหนึ่งละครที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนดู ด้วยเนื้อเรื่องสนุกสนาน และจบภายในหนึ่งตอน “ละครซิทคอม บางรักซอย 9” สามารถยืนระยะในวงการทีวีมาอย่างยาวนานถึง 13 ปี สร้างชื่อเสียงให้กับศิลปิน ดารามากมาย หนึ่งในนั้นคือ สมเจต พยัฆโส หรือ ที่คนรู้จักกันในชื่อ “เฮียหมู บางรักซอย 9”
“เฮียหมู” หรือชื่อจริงตามบัตรประชาชนคือ “สมเจต พยัฆโส” ผู้ชายรูปล่างเล็ก ค่อนข้างผอม ตัวไม่สูงมากนัก ในยุคเฟื่องฟูของวงการทีวี เราได้เห็นการแสดงของชายคนนี้ผ่านบทบาทนักแสดงตลก หรือรับบทบาทเป็นคนขับรถในละครต่างๆ แต่บทบาทที่ส่งให้ “สมเจต พยัฆโส” มีชื่อเสียง โด่งดัง และเป็นที่รู้จักนั้น มาจากบทของละครซิทคอม “บางรักซอย 9” กับตัวละครที่ชื่อว่า “เฮียหมู ปากหมา”
เฮียหมูเล่าว่า พื้นเพเดิมเป็นอยุธยา สมัยก่อนครอบครัวทำอาชีพแสดงลิเก พ่อกับแม่เป็นลิเกอยู่คณะ บรรหาร ศิษย์หอมหวล ตัวเองเลยเข้ามาเล่นลิเกกับคณะศิษย์หอมหวล ที่ถนนตก กรุงเทพฯ ต่อมาก็ได้มาแสดงตลก และได้มารู้จักกับ “น้ากล้วย เชิญยิ้ม” ก็มีการชักชวนกันไปเล่นละครซิทคอม
“ตอนนั้นน้ากล้วย เล่นละครซิทคอม “เฮง เฮง เฮง” ได้พูดคุยกันซึ่งเวลานั้นผู้กกำกับเขาอยากได้ตัวละครที่แสดงเป็นโจร ก็เลยเสนอเราไป ตอนนั้นยังใช้ชื่อว่า “เจต จิ้งจก” ซึ่งฉายานี้มาจากที่เราเป็นศิลปินตลก ตัวเล็กๆ ผอมๆ พวกก็เลยเรียก “เจต จิ้งจก” พอน้ากล้วยชวนมาเล่นละครซิทคอม “เฮง “เฮง “เฮง” แสดงเป็นโจร ผู้กำกับ “จิรศักดิ์ โย้วจิ้ว”
ตอนนั้นเขาอยู่บริษัทเอ็กซ์เเซก กำลังจะสร้างละครซิทคอมบางรักซอย 9 ในละครก็จะมีฉากร้านขายอาหาร มีพ่อค้าปากหมา เขาก็เลยเห็นแววของเรา ก็เอาเราไปเล่นเป็นเจ้าของร้านขายอาหาร ชื่อว่า ร้านเฮียหมู ปากหมา”จากเด็กต่างจังหวัด มาเล่นลิเก ก้าวเข้ามาในเมืองหลวง มีอาชีพเป็นนักแสดง จากชีวิตไม่มีชื่อเสียง
ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงการแสดง ใครต่อใครต่างเรียก “เฮียหมู” จากบทบาทนักแสดงซิทคอม ทำให้มีงานอื่นๆติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งงานเกมโชว์ งานละครที่ไม่ว่าจะให้ “เฮียหมู” รับบทอะไร “เฮียหมู” บอกว่า แกทำได้หมด เพราะการทำงานกับคนจำนวนมากเราต้องตรงต่อเวลาไปก่อนเวลานัดยิ่งดี
“ไม่ว่าอาชีพไหนก็ตาม การตรงต่อเวลาถือเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งเราเป็นนักแสดงลูกกะจ๊อก มีบทบาทน้อย เราต้องไปก่อนเวลากองนัดด้วยซ้ำ เพราะว่าเราจะได้มีเวลาอ่านบทและทำความเข้าใจบท ที่สำคัญเราต้องให้เกียรตินักแสดงท่านอื่นๆ รวมถึงคนที่อยู่ในกองถ่ายด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นข้อปฏิบัติที่เฮียยึดเป็นหลักในการทำงานมาตลอด”
เป็นเวลากว่า 13 ปี ของ “สมเจต” หรือที่ได้รับบทบาทการแสดงเป็น “เฮียหมู” ในละครซิทคอมบางรักซอย 9 โดยรายได้ส่วนใหญ่หลักๆมาจากละครซิทคอมเรื่องนี้ ซึ่งเดือนหนึ่ง มีละครออนแอร์ 4 ตอน เมื่อได้เงินก็ต้องใช้ไป เพราะลูกต้องเรียน บ้านต้องเช่า
“เฮียหมู เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นคิวงานแสดงมีเข้าเยอะ ทำให้มีเงินซื้อทองใส่ มีรถขับ มีบ้าน เวลาที่มีว่างภรรยากับลูกๆ อยากไปเที่ยวไหน ก็ได้ไป พอมีเงินเข้ามาจำนวนมาก จะใช้จ่ายเยอะ กิน เที่ยว มีเงินเก็บบ้างแต่ไม่เยอะ เพราะคิดแค่ว่าอย่างไรก็ตาม เรามีงานละครซิทคอมแน่ๆอยู่แล้ว ได้เงินเเน่นอน
พอมาตอนหลังกระแสละครเริ่มลดลง คนไม่นิยมดูเมื่อเหมือนเมื่อก่อน ผู้กำกับเขาก็เลยพอจบละครซิทคอมบางรักซอย 9 รวมระยะเวลา 13 ปี” หลังจากไม่มีละครซิทคอมบางรักซอย 9 แล้ว จากคนที่เคยมีงานละครประจำ กลับกลายเป็นว่า งานก็หาย เงินก็หาย แต่ชีวิตยังต้องมีรายจ่ายอยู่ และด้วยวงการบันเทิงที่มี ดารา ศิลปิน หน้าใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ “เฮียหมู” ห่างหายจากหน้าจอทีวีไปพักใหญ่ ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆว่า “เฮียหมู” ตกอับ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน
“ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราประมาทเอง มีเงินก็ไม่รู้จักเก็บออม ไม่รู้จักประหยัด พอไม่มีเงินก็ต้องขายทองที่มี เอารถเข้าไฟแนนซ์ มาอยู่บ้านเช่า ละครก็แทบจะไม่มีเข้ามาเลย ถ้าถามว่าวันนี้ชีวิตมีความสุขไหม ก็ตอบเลยว่าชีวิตมันไม่เหมือนเมื่อก่อนที่มีละครเข้ามาติดต่อเยอะ ช่วงนั้นมีความสุข แต่ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้เงินจากขายข้าวแกงก็แย่เหมือนกัน”
เมื่องานแสดงลดลง “เฮียหมู บางรักซอย 9” ก็ผันตัวเองมารับบทบาทเป็นพ่อค้าในชีวิตจริงรวมกับภรรยาคู่ชีวิต หารายได้เลี้ยงครอบครัวและส่งลูกเรียน
ช่วงเวลาตี 3 ครึ่งของทุกวัน เฮียหมูจะขับรถออกไปจ่ายตลาดที่ตลาดมีนบุรีซึ่งเป็นตลาดแถวที่พักอาศัย เพื่อซื้อของมาทำกับข้าวขาย เมื่อกลับมาถึงบ้านเฮียหมูกับภรรยาจะช่วยกันลงมือทำกับข้าว เวลาตี 5 ครึ่ง เป็นเวลาที่สองสามีภรรยาจะขนหม้อแกงที่ทำเสร็จแล้วขึ้นรถกระบะคู่ใจไปตั้งร้านขายข้าวแกงหน้าหมู่บ้านสัมมากร มีนบุรี ไม่ไกลจากบ้านที่พักมากนัก
ในแต่ละวันเฮียหมูจะทำกับข้าวเพียง 2 – 3 อย่าง เพราะด้วยกำลังของร่างกาย และสุขภาพที่ไม่สู้ดีนัก ทำให้ทำกับข้าวได้ไม่มากเฮียบอกว่า “ใครๆเขาก็เป็นพ่อค้า แม่ค้า กันทั้งนั้น คนที่ทำอาชีพค้าขายทำไมต้องอายคนอื่นด้วย เราทำอาชีพสุจริต ดีกว่านั่งรอเงินจากงานแสดงที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะมีงานเข้ามา แต่ขายข้าวแกงนี่ มีเงินเข้ามาทุกวันแน่ๆ จากนี้ก็ยึดอาชีพพ่อค้าเป็นหลัก ช่วงเดือนสองนี้ ก็จะทำร้านใหม่ ขยายร้านและทำร้านให้มั่นคงกว่าเดิม”
สุดท้ายเฮียบอกว่า อย่าคิดว่าเราแย่คนเดียว คนอื่นๆที่เขาแย่กว่าเรามีเยอะ เราเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เหล่าบริษัทนายทุนใหญ่โตเขาเผชิญกับวิกฤตมากกว่าเราอีก เขายังต้องดิ้นรนเลย เรามันตัวเล็กๆในโลกใบนี้ ทุกชีวิตก็ต้องทางดิ้นรน