พาส่องชีวิตหลังออกวงการ “ทราย วรรณพร”

หากย้อนกลับไปในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อนหน้านี้เชื่อว่าผู้คนส่วนมากต้องคุ้นหน้าคร่าตากับเธอกันอยู่ไม่น้อย สำหรับ ทราย วรรณพร ฉิมบรรจง อดีตนางเอกสาวสวยชื่อดังที่เคยโลดแล่นและมีผลงานให้ติดตามกันอย่างมากมาย ก่อนจะเฟดตัวออกไปใช้ชีวิตอิสระตามความชอบของตัวเอง วันนี้เราจะพาทุกคนไปส่องชีวิตของเธอคนนี้กันค่ะ มีความสุขกับงานศิลปะที่เลือกมากๆ

‘ทราย วรรณพร ฉิมบรรจง’ อดีตนางเอกที่โด่งดังมากมายในยุค 90 โดยเริ่มเข้าวงการจากการประกวด ‘มิสทีนไทยแลนด์’ ปี 2539 และเป็นที่รู้จักจากการแสดงละครเรื่อง ‘แม่ย่านาง’ โดยรับบทบาท ‘เมธาวลัย’ หรือ ‘เมธ์’ ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง ต่อจากนั้นได้สร้างชื่อเสียงของเธอ แล้วก็มีผลงานละครฯลฯ ด้านการแสดงภาพยนตร์ เธอได้รับโอกาสแสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘ถนนนี้หัวใจข้าจอง’ คู่กับ ‘เจ มณฑล’

มีผลงานละครเรื่องสุดท้ายของสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 คือเรื่อง ‘กระต่ายหลงจันทร์’ ก่อนจะห่างหายจากวงการไปช่วงหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็เมื่อหลังจากพิสูจน์ตนเองได้ ผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสเธอกลับมาเล่นละครอีกครั้ง แม้ว่าจะเกิดจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของชีวิตที่ทำให้ ‘ทราย’ ได้พิสูจน์ตนเองว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอค้นพบตนเอง จนกระทั่งเกิดจุดแปลงอีกครั้งหนึ่งเป็น“คุณไม่เหมาะสมกับการเป็นศิลปิน” คุณก็เลยเลือกออกจากวงการบันเทิง รวมทั้งเล่าว่า ภาพของความเป็นดารามันยากกว่าการเป็นผู้แสดงเพราะต้องวางตัวเยอะ ไม่มีอิสระในการใช้ชีวิต ต้องแต่งหน้าทุกๆวัน เอาใจใส่ภาพลักษณ์ของตนเองมาก

จนกระทั่งรู้สึกว่าไม่สนุก แต่ก็มีผู้ใหญ่ก็รอคอยป้อนงานให้ ‘ทราย’ รู้สึกว่ามันไม่เหมาะ ด้วยอายุเพียง 25 ปี เลยอยากทำงานด้านอื่นเพื่อค้นหาตัวเองไปด้วยช่วงหลัง ‘ทราย’ ได้ลองศึกษางานศิลปะ ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณรักอีกอย่างหนึ่งอย่างเป็นจริงเป็นจัง ตอนนี้ ‘ทราย วรรณพร’ มีความสุขกับในสิ่งที่คุณเลือก

‘ทราย’ ยังบอกอีกว่า ถึงคุณจะหันมาเอาดีทางด้านงานศิลปะแล้ว แต่เพื่อนๆในวงการก็ยังแวะเวียนมาหา นี่เป็นความสุขที่จริงจริงของชีวิตที่เธอได้เลือกเอง “ปัจจุบันนี้สนุกมากมายเลยค่ะ ภายหลังที่ออกมาจากวงการมาก็เริ่มมาทำงานของตนเอง จริงๆเราไม่ได้มายที่ตนเองต้องเป็นคนดังหรืออะไร

พวกเราแค่เพียงอยากได้พื้นที่ส่วนตัวที่ตัวเองมีความสุข สมมุติว่าถ้าเราว่างงานจริงๆเราก็อาจจะไปเปิดร้านขายอาหาร มันก็จะเป็นร้านที่อร่อยที่สุด เพราะว่าเราจะใช้ใจทำ เราไม่ได้จะต้องมีเงินเยอะๆพวกเราไม่ได้สนตรงนั้น แต่เราจะไม่เป็นของสังคม เราควรต้องดูแลตัวเองได้

ศิลปะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำแล้วมีสมาธิและมีความสุข ก็เลยเริ่มขวนขวายศึกษาด้วยตัวเอง จนถึงไปศึกษาต่อที่อินเดียเพื่อไปอยู่ในสังคมของศิลปะศิลปินล้วนๆ และคิดว่าเราได้อะไรกลับมา กระทั่งกลับมาแล้วเปิดของตัวเอง เพื่อที่เราจะได้มีพื้นที่เล็กๆของตัวเองให้เราได้หายใจบ้าง”